วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อยากทำงานที่นี่ไหม? วันหยุด140วัน พักร้อนอีก40วัน


 ปธ.บริษัทฯ ที่ทำให้พนง.มีความสุขที่สุดในโลก
"ในเมื่อเราไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่ ทำยังไงก็ได้ให้ต่างจากบริษัทอื่น"-ยามาดะ อะคิโคะ (Yamada Akio) ประธานบริษัท Mirai Industry นี่คือ จุดเริ่มต้นของนโยบายของทุกสิ่งทุกอย่างที่แปลกแหวกแนว ลองมาดูกันว่า เราอยากวิ่งเข้าหาบริษัทแบบนี้หรือเปล่า
"พนักงานบริษัทนี้มีความสุขที่สุดในญี่ปุ่น" ด้วยการบริหารงานของยามาดะ อะคิโอะ ผู้ก่อตั้งบริษัทวัย 82 ปี
1.ไม่มี OT
2.วันหยุดต่อปี 140 วัน และให้โควต้าพักร้อนอีก 40 วัน
3.อนุญาตให้ลาคลอดและหยุดเลี้ยงลูกได้ 3 ปี
4.จ้างทุกคนเป็นพนักงานประจำ
5.ให้เงินสนับสนุนชมรมในบริษัททั้งหมด 80 ชมรม
6.พาพนักงานทั้งบริษัทไปเที่ยวต่างประเทศ ทุกๆ 5 ปี โดยบริษัทจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
7.ถ้าตอบคำถามถูก 50 ข้อ ในทริปท่องเที่ยว พนักงานจะได้รับวันลาพักร้อนครึ่งปี
8.ตั้งระบบเปิดรับการนำเสนอ และความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงพัฒนา (ถ้านำเสนอ 1 เรื่องให้เพิ่ม 500 เยน ถ้าแผนเข้าท่าสามารถนำมาใช้ได้จริงบริษัทให้สูงสุดถึง 30,000 เยน)
9.เจ้านายห้ามกดดันลูกน้องทั้งวิธีและความคิด
ภาพจากหนังสือ Japan Salaryman เป็นได้มากกว่ามนุษย์เงินเดือน
นี่คือนโยบายบริหารที่มีความโดดเด่น และไม่เคยขาดทุน แม้แต่ครั้งเดียวตลอดการบริหารงานมากว่า 40 ปี ของบริษัท Mirai Industry โดยผู้ก่อตั้งวัย 82 ปี "ยามาดะ อะคิโอะ" ผู้สร้างความแตกต่างให้กังวงการทำงานประเทศญี่ปุ่น
CEO ท่านนี้เสียชีวิตไปตั้งแต่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2557 ลูกชายดำรงตำแหน่งประธานบริษัทแทน และยังคงสานเจตนารมณ์ของผู้เป็นพ่อก่อนเสียชีวิต CEO ท่านนี้ยังได้กล่าวไว้ก่อนว่า
"งานของประธานบริษัทคือทำให้พนักงานทุกคนมีความสุข ทำให้พนักงานทุกคนรู้สึกอยากทำให้บริษัทดียิ่งๆขึ้นไปอีกด้วยการให้สวัสดิการ และผลตอบแทนดีๆกับเขา ถ้าพนักงานมีกำลังใจ ตั้งใจในการทำงานแล้ว ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขึ้นแล้ว กำไรที่ได้เพิ่มขึ้นมาก็ควรเอามาตอบแทนกับพนักงาน แค่นั้นเอง งานของประธานบริษัท"
เป็นคำตอบที่ว่าทำไมถึงเป็นบริษัทที่พนักงานมีความสุขที่สุด...
นี่คือเรื่องเล่าสั้นๆเล็กๆในหนังสือJapan Salaryman เป็นได้มากกว่ามนุษย์เงินเดือน เขียนโดย บูม ภัทรพล เหลือบุญชู พิมพ์โดยสนพ.มติชน
หนังสือที่บอกถึงเคล็ดลับการทำงานสไตล์ญี่ปุ่นที่จะเปลี่ยน "คนธรรมดา" ให้กลายเป็น "ยอดมนุษย์เงินเดือน" เล่มนี้ยังมีเกร็ดสนุกๆของชีวิตมนุษย์ทำงานญี่ปุ่นที่อ่านแล้วได้รับรู้ทั้งในมิติวัฒนธรรม สังคม และการงาน เชื่อว่าอ่านจบแล้วต้องได้ทัศนะต่างๆตามมาให้พูดคุยกันต่อได้ในฐานะของมนุษย์เงินเดือน
ที่มา : http://men.sanook.com/7853/



วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ฮือฮา! ศาลาปู่พ่อขาวตั้งกลางแยก ไร้เกิดอุบัติเหตุ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (12 พ.ค.) ที่หมู่บ้านไทยเจริญ ต.ส่องดาว จ.สกลนครร มีศาลาปู่พ่อขาว ตั้งอยู่กลางถนนของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่าง อ.ส่องดาว และ อ.สว่างแดนดิน จากการสอบถามชาวบ้านทราบว่า ศาลาปู่พ่อขาว ตั้งอยู่กลางแยกถนนของหมู่บ้าน เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านไทยเจริญและข้างเคียง
โดยบริเวณศาลาปู่พ่อขาว พบพวงมาลัย ช้าง ม้า ธูปเทียน วางรายล้อมเสาไม้สีขาว 2 ท่อน สูงประมาณ 80 ซม. ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นที่สถิตของ ปู่พ่อขาว ที่คอยปกปักรักษาชาวบ้านกว่า 200 หลังคาเรือน โดยทุกวันพระชาวบ้านจะนำดอกไม้ธุปเทียนมาบูชาเป็นประจำ
จากการสอบถาม นายบัวกัน อายุ 67 ปี กล่าวว่า หลักเมืองปู่พ่อขาวตั้งมาตั้งพร้อมหมู่บ้าน ในปี 2483 จนถึงปัจจุบันมาเกือบ 80 ปีแล้ว ซึ่งแต่เดิมตั้งอยู่กลางทุ่งนายังไม่เป็นรูปทรงศาลาในแบบปัจจุบัน และไม่มีถนนตัดผ่าน ต่อมามีการสร้างถนนตัดผ่าน จนท.ได้สอบถามมติของชาวบ้าน ว่าจะให้ย้ายออกหรือไม่ แต่ชาวบ้านไม่เห็นด้วยที่จะให้ย้าย เนื่องจากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้าน ที่เคารพนับถือมานานตั้งแต่ปู่ย่าตายาย
นายบัวกัน กล่าวต่อว่า หลายๆ ครั้งเมื่อจะเกิดเหตุภัยพิบัติ เช่น พายุฝน น้ำท่วม จะมาขอให้ปู่พ่อขาวช่วยดลบันดาลให้หมู่บ้านรอดพ้นจากอันตราย และก็ผ่านไปด้วยดี นอกจากนี้ คนในหมู่บ้านก็มักจะมาบนบาน ในเรื่องที่จะให้ปู่พ่อขาวช่วย ก็ต่างสมหวังในสิ่งที่ขอไว้ ชาวบ้านยิ่งศรัทธามากขึ้นก็จะนำสิ่งของต่างๆ ที่ได้บนบานไว้มาแก้บน
ด้าน นายเดือน อายุ 56 ปี กล่าวว่า เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่ไม่มีการเคลื่อนย้ายหลักเมืองปู่พ่อขาวออกจากกลางถนน เพราะนอกจากจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านแล้ว ยังสามารถช่วยให้ผู้ที่ใช้รถใช้ถนนจะวิ่งผ่านหมู่บ้าน ต้องขับชะลอความเร็วเพราะมองเห็นแต่ไกล แล้วค่อยๆ ชิดซ้ายขับผ่านศาลาหลักเมืองปู่พ่อขาว บางคนบีบแตรบางคนก็ยกมือไหว้ขณะขับผ่านไป และตั้งแต่ตั้งศาลาหลักเมืองปู่พ่อขาวมาไม่เคยเกิดอุบัติเหตุเลย เพราะนอกจากตอนกลางวันจะมองเห็นเด่นชัดแล้ว ตอนกลางคืนก็จะมีไฟส่องสว่างอยู่กลางสี่แยกด้วย

ทายสิใครเอ่ย? ดารารุ่นเก่า สวยยิ่งกว่าดาราสมัยนี้อีก


เห็นดาราวัยรุ่นสวยๆ เดี๋ยวนี้ อย่าว่าแต่ญาญ่า คิมเบอร์ลี่ หรืออีกหลายๆ คนที่ฮอตๆ เถอะจ๊ะ มาดูดารารุ่นเก่า มากฝีมือคนนี้กัน ย้อนไปเมื่อ 36 ปีที่แล้ว สวยไม่แพ้เด็กๆ สมัยนี้เลย เฉลยดาราหน้าสวยเซ็กซี่คนนี้คือ "ตุ๊ก ดวงตา" เป็นไงละ สมัยนั้นไม่น่าจะมีเรื่องศัลยกรรมด้วย สวยจริงอะไรจริงจ๊ะ 


รู้จัก”พอร์นนัลโด้” ผู้ได้ชื่อว่า”จอมถล่มประตู”วงการหนังโป๊ญี่ปุ่น

จากรายงานของเอเอฟพี "ชิมิเคน" ราชาหนังโป๊ของญี่ปุ่นฮีโร่ของกลุ่มคนติดหนังโป๊ ชายผู้ต้องแบกรับภาระการบำบัดราคะของชาติยังคงดูกระชุ่มกระชวยพร้อมที่จะกระซวกประตูอยู่เสมอตามฉายาที่ผู้กำกับรายหนึ่งมอบให้กับเขาว่า"คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แห่งสังเวียนเซ็กซ์" จากลีลาอันร้อนแรงบนเตียงของเขา แม้ว่าวันนี้เขาจะอยู่ในวัย 35 ปีแล้วก็ตาม
ชิมิเคน หรือชื่อจริงว่า เคน ชิมิซึ ซึ่งเชื่อกันว่าได้ร่วมหลับนอนกับผู้หญิงมาแล้วไม่ต่ำกว่า 8 พันราย ในหนังกว่า 7,500 เรื่องของเขา ได้ตกเป็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้หลังออกมากล่าวว่าวงการหนังโป๊ญี่ปุ่นจำเป็นต้องมีนักแสดงหน้าใหม่เข้ามาเสริมกำลังโดยได้ทวีตข้อความออกไปว่า ปัจจุบันมีเสือเบงกอลมากเสียยิ่งกว่านักแสดงหนังโป๊ชายในญี่ปุ่น
"มันเป็นงานที่ยากครับ แต่มันต้องมีใครสักคนมาทำหน้าที่นี้" ดาราหนุ่มให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี "เราไม่ต่างจากสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ... ตอนนี้มีนักแสดงชายอยู่เพียง 70 คน ขณะที่นักแสดงหญิงมีมากกว่า 10,000คน"
ข้อความของเขาถูกนำไปทวีตต่ออีกอย่างล้นหลาม โดยแฟนๆที่กลัวว่าธุรกิจหนังโป๊ของญี่ปุ่นที่มีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 6.6 แสนล้านบาท) อาจตกอยู่ในอันตราย
"พวกเราถูกพบได้ยากมากขึ้น ไม่ต่างไปจากแพนด้า ... มันจะทำให้ผู้ชมรู้สึกเบื่อที่จะต้องดูนักแสดงรายเดิมๆอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด" นักแสดงหนังผู้ใหญ่ชั้นนำกล่าว
เขายังคงยืนยันว่า ตนสามารถที่จะยืนหยัดในวงการได้ต่อไปแม้จะต้องทำการบันทึกหนังโป๊วันละ 2-3 เรื่องโดยเฉลี่ย
"ปกติผมจะนอนกับผู้หญิง 2-3 คน ในแต่ละวัน ผมต้องมีเซ็กส์ประมาณวันละ 2 ชั่วโมง ... มันเป็นงานในฝันของผม ... ผมทำงานนี้มาตั้งแต่อายุ 17 ปี และไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย"
"มันเจ๋งกว่าการนั่งทำงานในสำนักงานเยอะ" นักแสดงซึ่งเล่นเพาะกายในยามว่างกล่าว "ผมจะทำงานนี้ไปจนถึงอายุครบ 100 ปีนู่นแหละ"
ชิมิเคนมีรูปแบบการทานอาหารที่เข้มงวด ในกระเป๋าของเขามีโปรตีนแท่ง, อกไก่ และไข่ต้ม รวมทั้งวิตามินเสริมจากกวางญี่ปุ่น และดื่มสารสกัดจากงูเพื่อเสริมสมรรถภาพ โดยไม่ต้องใช้ไวอากร้า
เขากล่าวว่าปัญหาสำคัญที่ทำให้ไม่มีนักแสดงหน้าใหม่เข้ามาเนื่องจากว่ากลัวที่จะถูกจับได้หรือโดนล้อเลียน โดยเฉพาะปัจจุบันที่มีการใช้โซเชียลมีเดียอย่างแพร่หลาย และอีกปัจจัยคือการกลัวที่จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับนักแสดงรายอื่น
ขณะที่คนในวงการบางส่วนโทษว่ากระแสสังคมที่กำลังนิยม"ผู้ชายกินหญ้า" (Herbivore men) ซึ่งละทิ้งเรื่องเซ็กซ์และลักษณะความเป็นชายแบบดั้งเดิม แล้วทำตัวติ๋มๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการแข่งขันทางสังคมแทน
"สภาพจิตใจ ผู้ชายกำลังอ่อนแอลง" นักแสดงหญิง ยูโกะ ชิรากิกล่าว "พวกเขาเหลือความเป็นชายน้อยลง และไม่ค่อยกล้าแสดงออกเชิงรุกในเรื่องเซ็กซ์"
โทฮิโระ ผู้กำกับดังเห็นด้วยว่าผู้ชายญี่ปุ่นปัจจุบันมีความอ่อนโยนนุ่มนิ่มมากขึ้น "ผมอยู่ในธุรกิจนี้มา 27 ปี คุณมองเห็นได้ชัดเลยว่าพวกผู้ชายกินพืชนี่มันเพิ่มขึ้นมากทีเดียว ... ผู้ชายเดี๋ยวนี้ขาดความกระหาย ไม่มีความปรารถนาอะไร พวกเขามีทุกอย่างที่ตัวเองต้องการแล้ว"
"ความแข็งแกร่งของสภาพจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ" ผู้กำกับฯกล่าว "นักแสดงจะต้องตกอยู่ภายใต้สภาพกดดันอย่างหนัก แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณมัวคิดถึงแต่ความกดดันมันก็จบ"
"การร่วมเพศมันยากนะ เหมือนกับฟุตบอลนั่นแหละ คุณไม่มีทางเห็นนักฟุตบอลที่ทำได้อย่างเมสซี่ หรือโรนัลโด้ เป็นร้อยๆคนหรอกจริงมั้ย มีแต่เมสซี่ หรือโรนัลโด้เท่านั้นที่ทำได้ในแบบฉบับของตัวเอง"


ประกาศไม่ขายที่สุขุมวิท39 ให้ไร่ละ400 ล.ก็ไม่สน

แห่แย่งซื้อสุขุมวิท 39 เจ้าของที่ไม่สนติดป้ายหรา เผยมีคนเสนอขอซื้อไร่ละ400 ล้านบาท..
วันนี้นายต่อตระกูล ยมนาค ได้โพสต์รูปและข้อความ ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ต่อตระกูล  ยมนาคว่า
 
โอ้โฮ เศรษฐกิจประเทศไทยถ้าจะรุ่งเรืองมากแน่ๆ เห็นป้ายเช้านี้แย่งกันซื้อที่ดินซอยทองหล่อ จนเจ้าของที่ดินต้องยกป้ายสีแดงดูชัดเจนว่า
"ที่ดินตรงนี้ไม่ขาย
อย่าหลงเชื่อคนแอบอ้าง"
ขนาดราคาที่ดิน มีคนมาเสนอ ไร่ละ 400 ล้านแล้วก็ยังไม่สน เพราะที่ดินติดถนนสุขุมวิท 39 (พร้อมพงษ์)มาถึง สุขุมวิท 55( ทองหล่อ) ไล่ซื้อกัน ไร่ละ 800 ล้านบาทแล้ว !
ไหนว่าเศรษฐกิจไม่ดี

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ของจริง “ร้องไห้หนักมาก“แท็กซี่ถึงกับปล่อยโฮ ขับชนรถหรู ไม่มีปัญญาจ่าย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 11 พ.ค.ว่า แท็กซี่หญิงจีนรายหนึ่ง ถึงกับร้องไห้โฮปวดใจหลังเกิดเหตุขับรถชนกับรถหรูคันหนึ่ง เนื่องจากเธอไม่มีปัญญาจ่ายค่าเสียหายให้แก่รถคู่กรณี เพราะมีประกันภัยไม่ครอบคลุมวงเงินค่าเสียหายทั้งหมด
สื่อท้องถิ่น "Net Ease" ของจีนรายงานว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในเมืองเฉินหยาง โดยแท็กซี่หญิงรายหนึ่งถูกพบเห็นในสภาพร้องไห้เมื่อพบว่า ประกันอุบัติเหตุรถยนต์ของเธอไม่ครอบคลุมอุบัติเหตุที่รถแท็กซี่ของเธอเกิดชนรถยนต์หรู "Maserati" หลังจากเธอขับเปลี่ยนเลน โดยรถแท็กซี่ของเธอก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน กันชนร่วงและไฟหน้าแตกขณะที่เจ้าของรถหรูดังกล่าวปฎิเสธที่จะเปิดเผยราคาแท้จริงของรถหรูของเขา รวมทั้งวันที่เขาซื้อ
ขณะที่แท็กซี่หญิงได้ถามประกัน โดยเป็นประกันภัยบุคคลที่สาม ของเธอว่า ครอบคลุมการจ่ายค่าเสียหายเท่าไหร่ ประกันบอกว่า ครอบคลุมเพียงแค่ 3 แสนหยวน ปรากฎว่า เมื่อได้ยินเช่นนั้น แท็กซี่หญิงถึงกับปล่อยร้องไห้โฮออกมา เพราะได้ตระหนักว่า การจ่ายค่าเสียหายให้คู่กรณีของเธอจะต้องมากกว่านั้น ซึ่งเธอไม่มีปัญญาจ่าย
ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่า ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิดก็ตาม แต่อุบัติเหตุในบริเวณดังกล่าวถือว่าเกิดขึ้นบ่อยมาก เนื่องจากถนนเหล่านี้มีสะพานที่มีเสามากมาย ทำให้มองเห็นทางวิ่งลำบาก รวมทั้งเวลาเปลี่ยนเลน
ที่มา : sanook.com

ทำไมตำรวจไม่ตั้งด่านตรงทางขึ้นสะพาน?


สะพานข้ามแยก- ในหลายจุดจะห้ามรถมอเตอร์ไซค์วิ่งขึ้นเนื่องจากอันตรายเกินไป เพราะเป็นทางลาดชันระดังสูงทั้งขึ้นและลง บางคนขี่รถเก่งแล้วก็อาจจะต่อต้านว่าทำไมฉันถึงขึ้นไม่ได้ แต่ถ้าเราลองคิดถึงส่วนรวมว่าถ้ากฎหมายอนุญาตให้มอเตอร์ไซค์เป็นสิบเป็นร้อยคัน ทั้งเด็กผู้หญิง คนชรา ขี่ขึ้นพร้อมกันทีเดียว จะเกิดอะไรขึ้น ? กับการบังคับรถที่ยากกว่าปกติ ถ้าล้มตรงทางลาดชัน รถที่ตามมาจะเบรคทันหรือเหยียบซ้ำหรือไม่

คำถามที่ว่าทำไมตำรวจไม่ตั้งด่านทางขึ้นสะพาน แต่กลับตั้งทางลงสะพานแทน

1.ก่อนขึ้นสะพานจะมีป้ายเตือนชัดเจน และทุกคนย่อมรู้กฎหมายอยู่แล้ว การให้ตำรวจไปยืนตากแดดเฝ้ายามหน้าสะพานตลอด 24 ชม. จึงเป็นการสิ้นเปลืองบุคลากรโดยเปล่าประโยชน์ คนที่เห็นก็จะไม่ขึ้น พอตำรวจไปคนพวกนี้ก็จะขึ้น ตำรวจจึงเป็นเพียงหุ่นไล่กาไร้ค่าเท่านั้น
2.ปกติตำรวจจะตั้งด่านเพียง 1-2 ชม. การตั้งด่านหลังจากลงสะพานแล้วจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด เมื่อคนที่ทำผิดกฎจราจร จะได้ถูกลงโทษและไม่กล้าทำซ้ำอีก
3.หลายคนประนาม การตั้งด่านทางลงสะพาน แสดงว่าตำรวจไม่เป็นห่วงประชาชน...อยากให้ลองคิดกลับกันดูว่า "วันนี้คุณเป็นห่วงตัวเองแล้วหรือยัง..."

ที่มา : facebook Thailand Police Story

ระทึก! ลมพัด 'พาราไกลดิ้งสาว' เกี่ยวสายไฟแรงสูง ช็อตเกือบดับ

ระทึก! นักกีฬาร่มร่อนสาว "พาราไกลดิ้ง" เฉียดตาย หลังขึ้นร่อน แล้วขณะลงลมแรง พัดให้ร่มเกี่ยวกับสายไฟฟ้าแรงสูง จนระเบิดสนั่น ไฟช็อตได้รับบาดเจ็บ โชคยังดีเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ นำส่ง รพ.ทัน ...


วันที่ 11 พ.ค. 58 เมื่อเวลา 17.30 น. ที่ริมอ่างเก็บน้ำหนองค้อ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีการแข่งขันมหกรรมกีฬา แอร์ ซี แลนด์ ไทยแลนด์ โอเพ่น ครั้งที่ 6 ประจำปี 2558 ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 3-24 พฤษภาคม 2558 ที่สนามกีฬาสวนสาธารณะบ้านเนินแสนสุข ซึ่งการแข่งขันร่มร่อน พาราไกลดิ้ง ในประเภทบินทนบินนานในรอบเก็บคะแนน
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการแข่งขันก็เกิดเหตุระทึกขึ้น เมื่อ นางสาวกนกรัตน์ หัวนาค นักกีฬาร่มร่อน ที่เข้าร่วมการแข่งขันได้เกิดความผิดพลาด ขณะจะนำร่มร่อนลงสู่พื้น เกิดมีลมพัดแรงทำให้เสียการทรงตัว บังคับร่มร่อนไม่ได้ เป็นเหตุให้ร่มไปเกี่ยวกับสายไฟฟ้าบริเวณข้างสนามแข่งขัน ทำให้ไฟฟ้าช็อตจนหม้อแปลงฟิวส์ขาด จนมีเสียงระเบิดดังสนั่น เป็นเหตุให้นักกีฬา และคณะกรรมการที่จัดการแข่งขัน รีบเข้าตรวจสอบทันที พร้อมทั้งแจ้งการไฟฟ้าให้รีบตัดไฟ
จากนั้นได้ทำการช่วยเหลือเอาตัว นางสาวกนกรัตน์ ลงมาด้วยการใช้รถกระเช้าของการไฟฟ้าภูมิภาค ศรีราชา เข้าช่วยเหลือลงมาได้อย่างปลอดภัย พร้อมทั้งรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ทันที โดยอาการของนางสาวกนกรัตน์ เบื้องต้นพบว่า มีร่องรอยการถูกไฟช็อตที่บริเวณร่างกาย ที่แขน ขา และลำตัว เสื้อผ้าถูกไฟช็อตขาด ซึ่งเจ้าหน้าที่พยาบาลให้การช่วยเหลืออยู่ในขั้นปลอดภัยแล้ว
สำหรับการแข่งขันครั้งนี้มีนักกีฬาสาวทีมชาติไทย นางสาวนันท์ณภัส ภุชฌงค์ อายุ 27 ปี หรือน้องบี นักกีฬา พาราไกลดิ้ง ทีมชาติไทย ที่มีคะแนนเป็นอันดับ 1 ของโลก ของสหพันธ์กีฬาทางอากาศนานาชาติ (FAI) และ จันทิกา ใจสนุก อายุ 17 ปี หรือ น้องนุ่น นักกีฬา พาราไกลดิ้งทีมชาติไทยเช่นกัน ที่มีคะแนนเป็นอันดับ 2 ของโลกของสหพันธ์กีฬาทางอากาศนานาชาติ (FAI) เข้าร่วมการแข่งขันด้วย
ที่มา : thairath.co.th

ย้อนรอย “คดีสาวซีวิค“ สู่บทสรุปสุดท้าย ที่คนไทยจับตามอง

จากเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2553 กรณีสาวซีวิคพุ่งชนท้ายรถตู้โดยสาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต-จตุจักร ซึ่งกำลังวิ่งบนทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ จากรังสิต มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพมหานคร ทำให้เสียหลัก พุ่งชนกับเสาไฟฟ้าและขอบทาง เป็นเหตุให้ประตูรถตู้เปิดออก และผู้โดยสารที่อยู่ในรถถูกเหวี่ยงออกไปคนละทิศละทาง โดยเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 9 ศพ และมีผู้บาดเจ็บ 6 ราย
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้มีกระแสวิพากษณ์วิจารณ์อย่างมากถึงความไม่เดือดเนื้อร้อนใจขณะที่มีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บนับสิบ เพราะได้มีรูปภาพหญิงสาวที่ขับรถฮอนด้าซีวิคยืนเล่นโทรศัพท์ข้างรถ
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียง 1 วัน เจ้าหน้าที่ได้มีการเรียกสอบสวนและดำเนินคดีดังกล่าวก็พบว่าเป็นลูกหลานผู้มีอิทธิผล ส่งผลให้ชาวออนไลน์ลุกฮือเรียกร้องให้มีการรับโทษเด็ดขาด!
17 กุมภาพันธ์ 2554 ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ ระบุว่า จะฟ้องผู้ปกครองเด็ก และผู้ให้ยืมรถในความผิดทางอาญาด้วยโดยใช้ทฤษฎีการกระทำผิดคู่ขนาน ผิดฐานประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายรวมถึงฐานที่พ่อแม่ไม่ดูแลบุตร ปล่อยให้ทำความผิดทางอาญา เป็นความผิดลหุโทษ ซึ่งเป็นความผิดสถานเบาพร้อมทั้งย้ำเตือนว่านี้เป็นตัวอย่างสังคม
ต่อมาวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2554 ทีมกฎหมายตัวแทนของครอบครัวของผู้ต้องหา ได้ส่งแถลงการอ้างที่ผ่านมาข่าวคลาดเคลื่อนความจริง แล้วรถซีวิคไม่ได้ชนรถตู้ไม่เช่นนั้นคนขับคงตายแล้วเพราะรถเก๋งเล็กกว่ารถตู้ และยังแสดงความเสียใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมฝากถึง "ทีมกฎหมายธรรมศาสตร์" ให้พิจารณาคดีให้รอบคอบก่อนฟ้อง
ส่วน นางสาวยุวดี เยี่ยงยุกดิ์สากล อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2555 เนื่องจากเป็นพนักงานอัยการเป็นโจทย์ยื่นฟ้องในคดีนี้ กล่าวว่า ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ได้มีข้อเสนอให้ทั้งสองฝ่ายใช้วิธีไกล่เกลี่ยเรื่องค่าสินไหมทดแทน ตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวกลาง พ.ศ.2553 มาตรา 132 โดยจะนัดทั้ง 2 ฝ่ายมาไกล่เกลี่ยอีกครั้งในวันที่ 2 กรกฎาคม 2555 ซึ่งการนำ พ.ร.บ.ฉบับนี้มาใช้เนื่องจากเป็นการช่วยไกล่เกลี่ยและเยียวยาผู้เสียหายด้วย และหากการไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จจะมีการพิพากษาต่อไป
วันที่ 2 ก.ค.2555 ศาลนัดคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเพื่อเข้าพบนักจิตวิทยา ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งในการไกล่เกลี่ย แต่ยังวี่แววว่าสาวซีวิคจะออกมา ซึ่งทำให้การเจรจาครั้งนี้ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ทั้งนี้ได้มีข้อมูลเปิดเผยข้อมูลว่า สาวซีวิคไม่รับสารภาพ เนื่องจากเกรงว่าจะมีผลคดีแพ่งเรียก 120 ล้านบาท จนทำให้ไม่สามารถจัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเยียวยาได้
ต่อมาวันที่ 31 สิงหาคม 2555 ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานขับรถประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและทำให้ทรัพย์สินเสียหาย เป็นเวลา 3 ปี คำให้การในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 2 ปี โทษจำคุก ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี โดยคุมประพฤติจำเลย 3 ปี และให้รายงานตัวทุกๆ 3 เดือน พร้อมให้ทำงานบริการสังคมโดยการดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุเป็นเวลา 48 ชั่วโมง รวมทั้งห้ามจำเลยขับรถยนต์จนกว่าจะมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ ส่วนข้อหาใช้โทรศัทพ์มือถือขณะขับรถ โจทก์ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าจำเลยกระทำการดังกล่าวจริง จึงพิพากษายกฟ้อง
จนเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2557 ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาแก้ไขจากที่รอลงอาญา 3 ปี ให้ระยะเวลารอลงอาญาเป็น 4 ปี และให้บำเพ็ญประโยชน์ 48 ชั่วโมงต่อปี เป็นเวลารวม 4 ปี ส่วนโทษอื่นให้คงตามศาลชั้นต้น ต่อมาจำเลยยื่นฎีกาต่อสู้คดี
และล่าสุด 11 พฤษภาคม 2558 ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว มีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย เนื่องจากคำร้องฎีกาไม่มีสาระสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งของศาลล่างที่ไม่รับฎีกา
"เหตุการณ์ดังกล่าวจะเป็นอุทาหรณ์ให้สังคมไทยกฎหมายไทย และเป็นบทเรียนให้ทุกฝ่ายต้องตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตผู้คนหรือไม่ ประชาชนทุกคนต้องร่วมกันตระหนักสิ่งนี้เอง"
ที่มา : Sanook.com